แนะนำการเชื่อมต่อใช้งาน ฟังก์ชั่นต่างๆ และ ข้อควรระวัง ของ Power Amplifier ฉบับภาษาไทย เข้าใจง่ายๆ

สิ่งที่ต้องมี

1. มิกเซอร์ ที่มีช่อง USB 2.0 สำหรับส่งสัญญาณออกไปบันทึกเสียง
2. ไมโครโฟน เช่น ไมโครโฟนแบบมีสาย, ไมโครโฟนไร้สาย, ไมโครโฟนบันทึกเสียง
3. สายสัญญาณ XLR สำหรับต่อใช้งานไมโครโฟนเข้ากับมิกเซอร์
4. สายสัญญาณเสียง แบบ 2 x TS Phone – TRS Phone 3.5 mm. เพื่อใช้งานเปิดเพลงผ่านคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค หรือสมาร์ทโฟน
5. หูฟังมอนิเตอร์ สำหรับใช้งานฟัง เพื่อควบคุมเสียง ระหว่างการปรับแต่งเสียงบนมิกเซอร์
6. สาย USB (แบบType A to B) ไว้ต่อเข้ากับช่อง USB ของมิกเซอร์ เข้ากับคอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค
7. คอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค เพื่อใช้งานในกระบวนการบันทึกเสียง ผ่านโปรแกรมบันทึกเสียง

วิธีการเชื่อมต่อใช้งานมิกเซอร์ เพื่อบันทึกเสียง

1. เสียบสาย USB เชื่อมต่อเข้ากับมิกเซอร์ และคอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค อย่าลืมตั้งค่า Input/Output ของมิกเซอร์ บนคอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค เพื่อให้อุปกรณ์เสียงอย่างมิกเซอร์สามารถทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊คของเราได้
2. เสียบไมโครโฟนเข้ากับมิกเซอร์ โดยใช้สายสัญญาณ XLR แบบตัวผู้-ตัวผู้
3. เสียบสายสัญญาณเสียงเข้ากับมิกเซอร์ และคอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค
4. เสียบหูฟังเข้ากับภาค Output ของมิกเซอร์

การใช้งานบนบอร์ดมิกเซอร์

1. หากเราต่อไมค์เข้าที่ชาแนลที่ 1 ตรวจสอบว่าปุ่มปรับตั้งค่าต่างๆ มีอะไรบ้าง อย่างเช่น มิกเซอร์ YAMAHA MG12XU มีปุ่ม PAD 26 dB หากใช้งานไมโครโฟนก็ไม่จำเป็นต้องกดใช้งาน แต่จะมากดใช้งานที่ปุ่ม HPF 80 dB เพราะว่าจะช่วยลดเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการ เช่น เสียงที่เกิดจากลมปาก
2. การปรับ GAIN ให้เหมาะสมพอดี ให้เราพูดทอดสอบ พร้อมกับกดปุ่ม PFL หมุนปรับ GAIN และตรวจสอบที่ไฟ Meter ให้อยู่ในระดับที่ 0 dB เพื่อให้เสียงที่ดังพอดี ไม่แตกพร่า สามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการบันทึกเสียงต่อได้
3. การปรับ Compressor มีหน้าที่คอมเพรสเสียง ควบคุมการบีบอัด หรือกดระดับสัญญาณเสียงให้เหมาะสมกับเสียงของเรา
4. การปรับ Tone เสียง หรือ EQ เสียงทุ่ม, กลาง, แหลม ก็ควรปรับให้เข้ากับคาแรคเตอร์เสียงของเรา เช่น ใครเสียงทุ้มเยอะ ก็ให้ปรับโทนเสียงทุ้มลดลง, หรือส่วนไหนที่ขาด/เกิน ก็ควรปรับให้พอดีกับเสียงของเรา (ไม่มีสูตรตายตัว)
5. การปรับ Effect ลด/เพิ่มระดับเสียงเอฟเฟกต์ให้เหมาะสมกับงานบันทึกเสียงของเรา
6. การปรับ PAN การควบคุมเสียงแพนชิ้นดนตรี หรือเสียงให้ออกไปที่ซ้าย/ขวา หากใช้งานไมโครโฟน แนะนำให้ปรับไปที่ตรงกลาง
7. ปุ่ม ON เป็นปุ่มเปิด/ปิด สัญญาณเสียงของชาแนลนั้นๆ
8. ปุ่ม 1-2 หรือปุ่ม Group หากไม่ใช้งานก็ไม่ต้องกด
9. ปุ่ม ST ต้องกดใช้งาน เพื่อส่งสัญญาณออกไปที่ Stereo Output
10. ปุ่ม PFL กดใช้งานเพื่อตรวจสอบสัญญาณเสียงของแต่ละชาแนล ก่อนที่จะส่งออกไปสู่ภาค Output โดยเมื่อกดปุ่ม PFL แล้ว สัญญาณเสียงของแต่ละชาแนล ก็จะส่งออกไปที่หูฟัง
11. สไลด์ Fader Volume ให้ปรับเลื่อนไปที่ตำแหน่งเลข 0

ส่วนของการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน

1. เปิดเพลงผ่านเครื่องเล่นเพลง เช่น สมาร์ทโฟน โดยมีเทคนิคควรเปิดระดับเสียงอย่างน้อย 75% ขึ้นไป
2. การปรับ GAIN ควรปรับบาล๊านซ์ของเสียงทั้งไมโครโฟน และเสียงเพลงจากสมาร์ทโฟน ตามหลักแล้วในงานคาราโอเกะ ควรให้เสียงร้องเด่นกว่าเสียงดนตรี
3. ปรับ EQ เสียงทุ้ม, กลาง, แหลม ควรปรับให้เหมาะสม ซึ่งควรระวังบางความถี่อาจจะไปรบกวนกับเสียงร้องของเราได้
4. การปรับ Effect ไม่ต้องใส่ เพราะว่าเพลงแต่ละเพลง จากคาราโอเกะได้ปรับมาพอสมควรแล้ว
5. กด ON เปิดใช้งานชาแนลที่ 7/8 ปรับ Fader Volumn ไปที่ตำแหน่งเลข 0 พร้อมกดปุ่ม ST และ PFL เพราะว่าเราจะได้เช็คสัญญาณเสียงที่หูฟังมอนิเตอร์ด้วย
6. ในส่วนของ Master Effect หรือ Effect Return ให้เลื่อนขึ้นมาที่เลข 0 เช่นกัน ซึ่งเราจะไปปรับที่เอฟเฟกต์ของเสียงร้องแทน
7. กด ON ที่ส่วนของ Master Stereo ปรับ Volumn ไปที่เลข 0 เช่นกัน

เมื่อเรานำอุปกรณ์ต่างๆ เสียบใช้งาน ตั้งค่าปรับแต่งต่างๆ บนมิกเซอร์เรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการบันทึกเสียงบนโปรแกรมบันทึกเสียงในคอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊คของเราได้เลย

ชมสินค้าได้ที่นี่

-10%

+

YAMAHA MG12XU Analog Mixer 12 Input เครื่องผสมสัญญาณเสียง มิกเซอร์อนาล็อก 12 ชาแนล

฿22,000 ฿19,800 (รวม VAT 7% แล้ว)

-38%

+

สินค้าหมดแล้ว

SOUNDCRAFT Signature 10 อนาล็อก มิกเซอร์ 10 ชาแนล

฿24,100 ฿14,900 (รวม VAT 7% แล้ว)