เวลาอ่านโดยประมาณ : 4 minutes
คลาสของ เพาเวอร์แอมป์ ที่ควรรู้ POWER AMPLIFIER แต่ละ CLASS ต่างกันอย่างไร? ในบทความนี้เรามาทำความรู้จักเบื้องต้น และเป็นพื้นฐานกันนะครับ โดยจุดประสงค์หลักของบทความนี้ เพื่อเสริมความรู้ให้กับทุกท่าน รวมถึงมือใหม่ที่กำลังสนใจ เพื่อให้ได้รับเกร็ดความรู้ เป็นประโยชน์ หากอ่านแล้วชอบก็อย่าลืมแชร์กันนะครับ
คลาสของเพาเวอร์แอมป์ POWER AMP แต่ละ CLASS ต่างกันอย่างไร ?
1. คลาส เอ (Class A)

หากถามถึงแอมป์คลาสไหนให้คุณภาพเสียงแบบคุณภาพจริงๆ เสียงดีจริงๆ ก็ต้องคลาสนี้เลยครับ พาวเวอร์แอมป์คลาส เอ นี้เน้นในเรื่องของคุณภาพเสียงที่มีคุณภาพสูง ค่าความเพี้ยนที่ตํ่ามากๆ เสียงรบกวนน้อย ให้คุณภาพเสียงที่เหมือนหรือใกล้เคียงต้นฉบับมากที่สุด
จุดเด่นก็ย่อมมีข้อจำกัดอยู่ครับ นั่นก็คือเรื่องของความร้อนที่ค่อนข้างจะสูงเพราะมีการป้อนกระแสไฟให้ทรานซิสเตอร์หรือตัวขยายอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณอินพุทไหลเข้ามาก็ตาม และกำลังขับที่ได้นั้นก็ค่อนข้างจะน้อยเนื่องจากการสูญเสียพลังงานส่วนใหญ่ไปกับความร้อนนั่นเอง โดย Class A จะเหมาะ หรือนิยมใช้ฟังเพลงที่มีความละเอียดสูง ไม่เน้นเบสที่ตูมตาม หรือหนักแน่น เช่นแนวเพลงที่ฟังสบายๆสไตส์คลาสสิค เป็นต้น
2. คลาส บี (Class B)

เป็นการออกแบบ จัดการวงจรที่ต่างจากคลาส เอ ออกไป คือเมื่อไม่มีสัญญาณอินพุทป้อนเข้ามา ก็จะไม่มีกระแสไหลผ่านทรานซิสเตอร์ จะมีกระแสไหลผ่านได้ก็ต่อเมื่อมีสัญญาณอินพุทป้อนเข้ามาเท่านั้น หลักการทำงานคือ ใช้ทรานซิสเตอร์ 2 ตัว ทำงานแบบผลักและดัน ช่วยกันทำงาน
จุดเด่นของแอมป์ คลาสนี้ไม่ใช่เรื่องคุณภาพเสียงแต่อย่างใดครับ แต่เป็นเรื่องของความร้อนครับ แอมป์คลาสนี้มีความร้อนต่ำแต่มักจะมีค่าความเพี้ยนที่สูงมาก แต่ก็มีข้อดีที่จะทำเป็นแอมป์มีกำลังขับสูง ๆ ได้ ซึ่งปัจจุบันแทบไม่เห็นแอมป์คลาส บี แท้ๆ เลยเนื่องจากคุณภาพเสียงที่มีความเพี้ยนสูงห่างไกลต้นฉบับมากๆจึงไม่เป็นที่นิยมและน่าพอใจ
3. คลาส เอบี (Class AB)

แอมป์ขยายที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยการออกแบบที่นำข้อดีของแอมป์ทั้งคลาสเอ และคลาสบี มาผสมกัน คือ ปล่อยให้มีกระแสปริมาณต่ำๆ ไหลผ่านตัวขยายจำนวนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณอินพุทเข้ามาเลย การทำงานปิดเปิดก็จะเป็นไปตามสัญญาณอินพุททั่วไป เพียงแต่ว่าวงจรนี้ จะไม่มีการปิดของกระแสทั้งหมด แม้ว่าจะไม่มีอินพุทเข้ามาเลยก็ตาม
จึงทำให้เพาเวอร์แอมป์คลาสนี้มีคุณภาพเสียงที่ค่อนข้างดี ถึงแม้จะไม่เท่าคลาส A ก็ตาม แต่ได้เปรียบในเรื่องของกำลังขับที่มากกว่า และเกิดความร้อนน้อยกว่า และคลาส AB นี้แหละเป็นแอมป์ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน และสามารถนำไปขับได้ทั้งลำโพงประเภทกลางและแหลม หรือแม้แต่ดอกลำโพงเสียงต่ำหรือวูฟเฟอร์ก็สามารถขับได้ เช่นเดียวกัน
4. คลาส ดี (Class D)

การออกแบบจัดวางชุดขยายสัญญาณเสียงที่แตกต่างกับ คลาส เอ ,คลาส บี หรือคลาส เอบี โดยสิ้นเชิง ซึ่งเครื่องขยายของคลาส เอ, บี, เอบี, ภาคขยายสัญญาณขาออก จะทำหน้าที่ขยายแรงหรือให้กำลังตามความแรงของสัญญาณขาเข้า
แอมป์คลาส D เป็นการออกแบบให้ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการขยาย ซึ่งแทนที่จะเสียกำลังไปในเรื่องของความร้อน เนื่องจากไม่ได้ทำงานตลอดเวลา เพราะความถี่สูงจะถูกตัดออกไปในช่วงระหว่างภาคจ่ายไฟบวก และลบ ทำให้อุปกรณ์ไม่ได้ทำงานตลอดเวลา ความร้อนจึงต่ำ ในด้านประสิทธิภาพนั้นจึงสูงกว่า คลาส เอบี หลายเท่า
แอมป์ Class D หลายท่านเข้าใจผิดว่าเป็นแอมป์ดิจิตอล แต่แท้จริงแล้ว อาจจะคล้ายๆกัน ในแง่ของลักษณะในเชิงการทำงานแบบเปิด และปิด แต่ไม่ใช่ในแง่ของการทำงานเพื่อขยายสัญญาณเสียง
ข้อจำกัดของ Class D คือ มักจะจำกัดการทำงานที่ความถี่ค่อนข้างต่ำ เพราะการขยายสัญญาณในภาคขาออกต้องทำการกรองคลื่นที่เป็น pwm ที่เป็น square wave ออกเพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณความถี่ในแบบ sine wave โดยมาก เครื่องขยายเสียง Class D ทั่วไปจะกรองความถี่ที่ 500 Hz ดังนั้นความถี่ที่ใช้งานได้ดีคือ จะสูงไม่เกิน 250 Hz หรือมากกว่าเล็กน้อย
แอมป์ คลาส D โดยทั่วไปเหมาะหรือตอบสนองสำหรับขับลำโพงความถี่ต่ำ หรือดอกซับส่วนการตอบสนองสำหรับลำโพงกลางแหลมนั้นถือว่ายังเป็นข้อจำกัดอยู่หากเปรียบเทียบกับคลาส AB (นอกซะจากเป็นแอมป์ Class D ระดับ Professional Full range จริงๆที่จะตอบสนองความถี่ได้กว้าง และให้คุณภาพเสียงกลางแหลมเป็นที่น่าพอใจซึ่งก็จะตามมาด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง)
5. คลาส อี (Class E)

เครื่องขยายเสียง Class E ทำงานโดยใช้หลักการ สวิทชิ่ง แบบอ่อนๆ คือ ไม่ได้ใช้สวิทชิ่งเป็นหลักในการขยายสัญญาณโดยจะปล่อยให้มีสัญญาณหรือกระแสไหลผ่านจำนวนต่ำๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของภาคขาออกอยู่ตลอดเวลา เพื่อลดความเพี้ยนที่เรียกว่า ครอสโอเวอร์ ดิสทอร์ชั่น หรือ switching distortion ซึ่งถือได้ว่ามีการออกแบบวงจรภาคจ่ายไฟที่ดีมาก จึงทำให้มีประสิทธิภาพสูง
6. คลาส จี (Class G)

เป็นเครื่องขยายเสียงที่ใช้ไฟเลี้ยงตั้งแต่ 2 ชุด ขึ้นไป และจะทำงานโดยภาคขยายเสียงจะปรับไปใช้ไฟเลี้ยงที่สูงขึ้นหากสัญญาณขาเข้ามี ความแรงมากขึ้น จึงทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่จะมีปัญหาในช่วงการเปลี่ยนจากภาคจ่ายไฟ ที่จะปรับใช้ในแต่ละความแรงของสัญญาณขึ้นลงตลอดเวลา จึงก่อให้เกิดความร้อน และการสูญเสียพลังงานในที่สุด
สรุปง่ายๆ ก็คือ แอมป์คลาส G เป็นการออกแบบให้มีประสิทธิภาพให้สูงขึ้นมาอีกขั้น โดยลดการสูญเสียแรงดันของทรานซิสเตอร์ พื้นฐานใกล้เคียงกับคลาส AB และมีประสิทธิภาพเท่าคลาส D หรือ T แต่การออกแบบวงจรจะมีความสลับซับซ้อนกว่ามาก
7. คลาส เฮช (Class H)

ดีตรงที่ความร้อนน้อยกว่า คลาส A, AB ครับ แต่ภาคขยายยังคงเป็นคลาส AB เพียงแต่คลาส H ได้เพิ่มภาคจ่ายไฟที่สามารถปรับแรงดันได้ ใช้แหล่งจ่ายไฟตั้งแต่ 2 ระดับขึ้นไป เป็นวิธีการแก้ไขความเพี้ยนของรอยต่อระหว่างการขยายสัญญาณของทรานซิสเตอร์ชุดล่าง และชุดบนในแบบคลาส G
คลาส H มีความคล้ายกับ Class G ยกเว้น เรียลโวลท์เตจ ที่โมดูเลทสัญญาณอินพุทเท่านั้น ที่ไม่มีเพาเวอร์ซัพพลาย Rail จะสูงกว่าสัญญาณเอาท์พุทเล็กน้อย ปล่อยโวลเทจให้กับทรานซิสเตอร์ตัวเล็ก และระบายความร้อนทรานซิสเตอร์เอาท์พุท วงจรที่คล้ายกับที่ใช้ในแอมป์ Class D นี้ก็คือ มีโมดูเลทเพาเวอร์ซัพพลาย Rail ที่เหมือนกัน ในส่วนของความสลับซับซ้อนแอมป์แบบนี้ มีความเหมือนกับแอมป์ Class D แต่ทำงานได้เหมือนกับแอมป์ Class AB
ลักษณะเด่นของแอมป์คลาส H เมื่อเปิดวอลลุ่มเครื่องขยายเสียงเบา หรือน้อยก็จะทำให้แอมป์ใช้ไฟน้อยเมื่อเปิดดังมากก็จะใช้ไฟมาก
8. คลาส เอส (Class S)
คือ การทำงานของภาคขยายเสียงที่ทำงานแบบ Switching ที่มีการทำงานแบบเปิด/ปิด อยู่ตลอดเวลา และต้องใช้วงจรกรองความถี่แบบ low pass ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น Class D
9. คลาส ที (Class T)

แอมป์คลาสนี้ออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยใช้ภาคประมวลผลสัญญาณแบบดิจิตอล ไตรพาส ทำให้วงจรทำงานได้กว้าง และเต็มช่วงสัญญาณความถี่ คือ ตั้งแต่ 20 Hz-20KHz (ความสามารถที่หูมนุษย์ได้ยิน ยี่สิบเฮิร์ต ถึง ยี่สิบกิโลเฮิร์ต )
Class T เป็นแอมป์ที่พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อลดจุดด้อยของ CLASS D ที่มีจุดด้อยในเรื่องตอบสนองความถี่เสียงย่านความถี่สูง โดยใช้ความสามารถในเชิงดิจิตอลเข้ามาช่วย เพิ่มความถี่ของการทำงานแบบ Switching ทำให้ Switching ที่ความถี่สูงขึ้น จึงตอบสนองความถี่ได้กว้าง และมีประสิทธิภาพ
ทำให้แอมพ์คลาส T สามารถใช้งานได้ทั้งซับวูฟเฟอร์ และกลางแหลม แอมป์ คลาส T ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าแอมป์ คลาส AB
สรุป
คลาสของ เพาเวอร์แอมป์ แต่ละคลาส มีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป โดยที่บางคลาสนั้นจะไม่ค่อยนิยมใช้กันแล้ว หรือบางครั้งแพงจนเกินไป จนไม่ค่อยพบเห็นมากนัก หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกท่าน หากขาดตกบกพร่องประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
โปรโมชั่นดูทั้งหมด
PRO MEGA DEAL เครื่องเล่นดีเจ Pioneer DJ ลดราคา On Top 15% พร้อมของแถมอีกมากมาย
เครื่องเสียง Home Audio Mega Deal ทั้งลด ทั้งแถม 2023
PRO MEGA DEAL ลำโพง JBL และไมค์ SHURE ลดราคา On Top 10% พร้อมของแถมอีกมากมาย
ข่าวสารอัพเดท A/V WORLDดูทั้งหมด
Sony Walkman กว่าจะมาเป็นตำนานเครื่องเล่นเสียงพกพา
Apple เปิดตัว HomePod 2 ลำโพงอัจฉริยะ พร้อมชิป S7
เปิดตัว STAGEPAS 200 ลำโพง PA แบบพกพาระดับมืออาชีพจากแบรนด์ YAMAHA
รีวิวสินค้าดูทั้งหมด
รวมไมค์ SARAMONIC แนะนำ ที่คุณไม่ควรพลาด! ของเขาดียังไง?
IMAX With Laser คืออะไร? มีที่ไหนบ้าง? อัพเกรดอะไรจากเดิมมั้ง!?
ลำโพงกลางแจ้ง ยอดนิยม ประจำปี 2022 By SoundDD.Shop
รีวิว SHURE KSM11 ดียังไง ทำไมศิลปินต่างพากันเลือกใช้ ?
7 อันดับ ไมค์สาย สำหรับร้อง/พูด ยอดนิยม ปี 2022 ที่คุณไม่ควรพลาด!
7 อันดับ ไมค์ลอย SHURE รุ่นไหนดี? แนะนำไมค์ลอยน่าใช้ ปี 2022
เกร็ดความรู้ดูทั้งหมด
สมาร์ททีวี คืออะไร? Apple TV กับ Android TV เลือกอะไรดี
จริงหรือไม่? ลำโพง HiFi ดีกว่า ลำโพงทั่วไป?
HDR คืออะไร? ทำไมทีวีและโปรเจคเตอร์ในยุคปัจจุบันถึงต้องมี!
ค่าโอห์มในหูฟังคืออะไร เลือกอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน ?
Lumens และ ANSI Lumens คืออะไร? โปรเจคเตอร์ที่ดี ควรมี Lumens เท่าไหร่!?
เลือกขนาดลำโพงอย่างไร? ให้เหมาะกับห้อง
ผลงานติดตั้งดูทั้งหมด
ผลงานติดตั้ง ระบบเสียงห้องประชุม บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ
ผลงานติดตั้ง ระบบภาพและเสียงคาราโอเกะ บ้านลูกค้า
ผลงานการติดตั้ง ระบบเสียงห้องประชุม สำนักงานสุขภาพเขต 4 จังหวัด สระบุรี
ผลงานการติดตั้ง ระบบเสียงห้องประชุม กรมควบคุมสิทธิ และเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม
ผลงานการติดตั้ง ระบบเสียงเวทีการแสดง Live Sound มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
ผลงานติดตั้ง ระบบเสียงคาราโอเกะ บ้านลูกค้า