พรีวิว JBL TOUR PRO 3 หูฟัง Smart Charging Case หน้าจอสัมผัส?

• JBL TOUR PRO 3 หูฟังไร้สายแบบ True Wireless ฿11,500 (รวม VAT 7% แล้ว)

JBL TOUR PRO 3 เป็นหูฟังไร้สาย ที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ True Adaptive Noise Cancelling ที่เป็นการใช้ไมค์ 4 ตัวในการรับเสียงภายนอก จากนั้นประมวลผล เพื่อปล่อยคลื่นที่หักล้างเสียงรอบตัว แบบเรียลไทม์ ดึงคุณออกจากโลกที่แสนวุ่นวาย สู่โลกส่วนตัว ที่ปราศจากการรบกวน

และเช่นเคย มาพร้อมเคสอิจฉริยะที่มีหน้าจอสำหรับสัมผัส โดยที่ในรุ่นนี้นอกจากการตั้งค่า และควบคุมหูฟังแล้ว Smart Charging Case ยังมีลูกเล่นใหม่ ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อหูฟัง เข้ากับความบันเทิงทุกรูปแบบได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านเคสที่ทำหน้าที่รับอินพุตจากภายนอก และส่งผ่านสัญญาณเสียงไปยังหูฟัง เพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่คุณอาจไม่เคยแม้แต่นึกถึง!

• JBL TOUR PRO 3 หูฟังไร้สายแบบ True Wireless ฿11,500 (รวม VAT 7% แล้ว)

อย่างที่รู้กันว่าตัวหูฟังจะชูเรื่อง Smart Charging Case เป็นจุดเด่นสำคัญตั้งแต่ TOUR PRO 2 จนมาถึง TOUR PRO 3 ก็ยังคงเน้นที่เคสไม่เปลี่ยนแปลง(ขายหูฟัง แต่พี่มาเน้นเคสมันก็แอบแปลกนิดๆ)

ก่อนอื่นผมขอเริ่มต้นด้วยการแนะนำ JBL TOUR PRO 3 ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกันก่อนสักเล็กน้อย ตัวหูฟังจะมาในคอนเซ็ปต์

“ Seamless Convenience with ‘Everywhere Entertainment’ ”
เชื่อมต่อคุณเข้ากับทุกความบันเทิงรอบตัวแบบไม่มีสะดุด

โดยที่ Smart Charging Case ในรุ่นนี้ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้แค่สั่งการ หรือตั้งค่าหูฟังเท่านั้น แต่จะมาพร้อมฟีเจอร์ ในการปรับเปลี่ยน ตัวเองให้กลายเป็นตัวส่งสัญญาณเสียงตรงไปที่หูฟัง หรืออุปกรณ์อื่นๆ ผ่าน Auracast ซึ่งต้องยอมรับว่าทางแบรนด์ JBL เขาคิด และออกแบบมาได้ดีมากๆ

ขึ้นอยู่กับว่าตอนใช้งานจริง ฟีเจอร์นี้จะสามารถตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้อย่างเราๆ ได้มากน้อยแค่ไหน? หากมองจากคอนเซ็ปต์ ส่วนตัวทีมงานรู้สึกว้าวซ่ากับฟีเจอร์นี้ไม่น้อยครับ

ปล.ฟีเจอร์ Everywhere Entertainment ผมจะเขียนอธิบายเพิ่มเติมที่ด้านล่าง ข้ามไปอ่าน คลิกที่นี่

• JBL TOUR PRO 3 หูฟังไร้สายแบบ True Wireless ฿11,500 (รวม VAT 7% แล้ว)

JBL TOUR PRO 3 จะมาในรูปลักษณ์ที่คล้ายกันกับรุ่นก่อน ทั้งตัวเคส และหูฟัง หากมองเผินๆ จะคล้ายกันมาก แต่จะแตกต่างกันในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ดังนี้ครับ

หน้าจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 30%

---

จากภาพจะเห็นว่าหน้าจอของทั้ง 2 รุ่น มีขนาดที่แตกต่างกันชัดเจน โดยที่ทางแบรนด์เคลมมาว่าหน้าจอของ Tour Pro 3 จะมีขนาดใหญ่ขึ้นจากรุ่นก่อนมากถึง 30% รวมๆ แล้วดูเต็มตา สวยงาม และลงตัวมากกว่ารุ่นก่อน (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)

เสริมไมโครโฟนที่เคสสำหรับฟีเจอร์ Find My Locator

---

อีกจุดต่างที่สังเกตได้ด้วยตา คือด้านล่างของตัวเคส ที่ TOUR PRO 3 จะมีรูซึ่งเป็นที่อยู่ของไมโครโฟน สำหรับส่งเสียงเพื่อแจ้งเตือน เวลาใช้งานฟีเจอร์ Find My Locator สำหรับเวลาที่คุณหาตัวเคสไม่เจอ จำไม่ได้ว่าเอาไปวางไวที่ไหน?

• JBL TOUR PRO 3 หูฟังไร้สายแบบ True Wireless ฿11,500 (รวม VAT 7% แล้ว)

Everywhere Entertainment

---

จากที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ ว่าตัวเคส สามารถเปลี่ยนตัวเอง เป็นตัวส่งสัญญาณไร้สาย ที่จะทำหน้าเป็นเหมือน Dongle เพื่อส่งสัญญาณเสียงที่คุณต้องการ ไปยังหูฟังโดยตรง เพื่อนๆ บางท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะงง ผมขออนุญาต อธิบายในจุดนี้เยอะหน่อย เพื่อให้เพื่อนๆ เห็นเคสการใช้งานตัวอย่าง และเข้าใจการทำงานของ Everywhere Entertainment มากขึ้นครับ

 

การใช้งานฟีเจอร์นี้ จะเป็นการเชื่อมต่อ เคสหูฟัง เข้ากับอุปกรณ์อื่นผ่านสายสัญญาณ เพื่ออินพุตสัญญาณเสียงเข้าไปที่เคส จากนั้นจะเป็นการส่งสัญญาณ(Transmit) ต่อไปยังหูฟัง โดยที่การรับ-ส่งสัญญาณระหว่างหูฟัง และเคสจะมีความเสถียร และ Latency ต่ำกว่าการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธปกติ

 

นอกจากการส่งสัญญาณเสียงไปที่หูฟังแล้ว JBL TOUR PRO 3 ยังสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกระจายสัญญาณ เพื่อส่งสัญญาณไร้สายผ่านบลูทูธ Auracast ไปที่หูฟัง หรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้อีกด้วย ซึ่งผมจะอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป…

หูฟังตัวแรกที่รองรับ Auracast แบบเต็มรูปแบบ

---

ตามปกติของอุปกรณ์อย่างหูฟังที่รองรับ Auracast โดยส่วนมากแล้วจะเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ในส่วนของ “ตัวรับสัญญาณ” แต่ JBL TOUR PRO 3 จะเป็นหูฟังตัวแรก ที่รองรับการใช้งาน Auracast แบบเต็มรูปแบบ คือสามารถทำหน้าที่เป็นได้ทั้ง “ตัวกระจายสัญญาณ(Transmitter)” และ “ตัวรับสัญญาณ(Receiver)”

ยกตัวอย่างการใช้งานเช่น วันหนึ่งคุณไปเจอทีวีในฟิตเนส ที่กำลังเล่นภาพยนตร์ที่คุณสนใจ แต่ทีวีตัวนั้นไม่รองรับ Auracast JBL TOUR PRO 3 สามารถช่วยให้คุณเปลี่ยนทีวีธรรมดา ให้สามารถกระจายสัญญาณเสียงผ่าน Auracast ไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ได้ง่ายๆ เพียงแค่นำ เคส ไปเชื่อมต่อกับทีวีผ่านสายสัญญาณ จากนั้นเพียงแค่กดปุ่ม Auracast ที่หน้าจอเคสก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ไดรเวอร์เสียง Hybrid-Dual Driver แบบใหม่ แบบสับ

---

ไดรเวอร์เสียงของหูฟัง JBL TOUR PRO 3 จะเป็นไดรเวอร์เสียงแบบ HYBRID Dual-Driver System เป็นการนำไดรเวอร์ 2 ประเภท Dynamic Driver และ Balanced Armature หรือที่คนนิยมเรียกว่า BA ที่มีจุดเด่นคนละแบบ มาทำงานร่วมกัน เพื่อยกระดับคุณภาพเสียงที่(ส่วนตัวคิดว่า) เป็นจุดอ่อนในรุ่นก่อน

รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง 360 องศา พร้อมระบบ Head Tracking

---

นอกจากคุณภาพเสียงจะดีขึ้นแล้ว ในส่วนของระบบเสียงรอบทิศทางก็เป็นอีกจุดที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นด้วย จากที่ในรุ่นก่อน จะรองรับเพียงแค่ Spatial Sound มาในรุ่น TOUR PRO 3 จะได้รับการอัพเกรดมาเป็น JBL SPATIAL 360 ตอบสนองต่อเสียงรอบทิศทางได้ดียิ่งขึ้น พร้อม Head Tracking ที่ช่วยให้ระบบเสียงรอบทิศทางมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น

 

ณ วันนี้ตัวหูฟัง JBL TOUR PRO 3 วางจำหน่ายที่ต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว แต่ในฝั่งบ้านเราข่าวคราวจากทางมหาจักรยังคงเงียบกริ๊บ ทีมงานคาดว่าน่าจะเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราช่วงต้นปี 2025 ในส่วนของราคาที่ต่างประเทศอยู่ที่ 279.99 เหรียญ(ประมาณ 9,332 บาท) คาดการณ์ว่าจะเปิดราคาในบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 10,900 บาท

จากข้อมูลที่ทีมงานไปหาอ่าน และฟังรีวิวจากต่างประเทศ ในด้านคุณภาพเสียงคิดว่าน่าจะยกระดับขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างมีนัยยะสำคัญ บวกกับฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ที่ล้ำกว่าหูฟังในตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าคุณภาพเสียงโดยรวมทำออกมาไม่ต่าง หรือดีกว่าคู่แข่งอย่าง Bose Quiet Comfort, Sony WF-1000XM5 ได้ ทีมงานเชื่อว่า JBL TOUR PRO 3 จะเป็นอีก 1 หูฟังที่น่าจับตามองมากๆ ในปี 2025 ครับ

ก็จบกันไปแล้วกับบทความ พรีวิว JBL TOUR PRO 3 หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ได้บ้างไม่มากก็น้อย หากสงสัยข้อมูลเกี่ยวกับ TOUR PRO 3 ตรงจุดใด สามารถติดต่อเข้ามาสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ติดต่อเรา วันนี้ผมต้องขอตัวลาไปก่อน สวัสดีครับ ~

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก JBL News, JBL

บทความที่คุณอาจสนใจ..